ไม้ร่ม ถือเป็นบุคคลในยุคแรกๆที่ขอให้สมณโพธิรักษ์มอบชื่อใหม่ให้ จนปัจจุบันนี้เราได้พบว่ามีศิษย์สันติอโศกจำนวนไม่น้อย ที่มีชื่อใหม่มาแทนชื่อที่เคยใช้ในบัตรประชาชน แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่หนึ่งเหตุผลที่สำคัญของไม่ร่ม เพราะเขาถูกปฏิเสธจากญาติพี่น้อง ที่ต่างรับไม่ได้กับการละทิ้งชีวิตเช่นปุถุชนธรรมดาไปเป็นคนหลุดโลกในสายตาของคนเหล่านั้น
“เขาไม่เอาผม เพราะเขาหาว่าผมบ้า ทำให้เขาเสียชื่อ ถึงกลับไล่ผมออกจากที่ดินของผมเองที่สุราษฎร์ พอใครเขาว่าบ้า ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร และต่อไปนี้ ผมจะทำอะไรก็ได้เพราะผมเป็นคนบ้า จากนั้นผมก็เริ่มแต่งองค์ทรงศรของผมมากขึ้นๆ ซึ่งเดิมทีก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนที่แต่งตัวแปลกอยู่แล้ว แต่ต่อมามันเริ่มมีอะไรมากขึ้น และเริ่มหาโน่นหานี่มาใส่หัว”
ชีวิตนี้มี ”แม่เยื้อน” เพียงคนเดียวเข้าใจและช่วยรับประกัน เท่านี้เขาก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ แล้ว กับคำกล่าวหาว่า “บ้า” และหากจะบ้า เขาก็จัดตัวเองให้เป็นจำพวก “บ้าจริง” ที่บ้าค้นหาความจริง เพื่อไปสู่นิพพาน ไม่ใช่ “บ้าจี้” ที่จี้ให้มีลูกมีเมีย จี้ให้มีบ้านมีรถใหญ่โต จี้ให้ร่ำให้รวย และ “บ้าละเมอเพ้อพก” อยู่ในโรงพยาบาล
“วันหนึ่งขณะที่ผมเข้าไปกราบแม่ และถามแม่ว่าผมบ้าหรือเปล่า แม่เอามือจับที่หัวของผม พลางถามว่าอะไรอยู่บนหัวมึง กระหรุบกุบกิบ (เป็นภาษาใต้ มีความหมายไปในทำนองว่ามีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะ) แม่บอกว่า ขอให้มึงทำมาหากิน โชคดีมีเงินทองเต็มไปหมด กระหรุบกุบกิบอย่างนี้นะ กูรับรองว่ามึงไม่บ้าหรอก มึงเป็นคนดี ผมบอกแม่ว่า ขอบคุณแม่มาก มีแม่คนเดียวรับรองก็พอแล้ว ผมจะไม่ถามคนอื่นหรอก”
การแสดงออกผ่านการแต่งกาย เขาบอกว่าเป็นความต้องการของศิลปินคนหนึ่งที่ปรารถนาจะทำศิลปะให้รอบด้าน ไม่ใช่เฉพาะกับวัตถุ แต่ตัวเขาเองก็ต้องเป็นศิลปะชิ้นหนึ่งให้คนได้สัมผัสด้วย
“ในเมื่อเราทำกับวัตถุได้ เราต้องทำกับตัวเราด้วย ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน รูปเขียนก็คือตัวอย่าง ตัวผมเองก็คือตัวอย่าง เพราะฉะนั้นผมต้องทำตัวเองเป็นตัวอย่างด้วยว่า มนุษย์คนหนึ่งควรจะเป็นอย่างไร ใครจะเห็นว่าดีก็ดี เห็นว่าไม่ดีก็ไม่ดี สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตรม คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดวงดาวพราวพราย”
เขาสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ ซึ่งร้านฝ้ายแค้มอุบล และร้านไม้ร่ม จ.เชียงใหม่ มีใจอนุเคราะห์ส่งมาให้ และจำกัดการสวมใส่ไว้เพียงไม่กี่สีเพื่อข้ามให้พ้นขัดจำกัดของสังคม “คนเราจะมีขีดจำกัด ในเรื่อง อายุ ชาติชั้น วรรณะ และอะไรอีกเยอะแยะ ผมพยายามจะข้ามขีดจำกัดนั้นไปให้ได้”
เขาแปรงฟันด้วยขี้เถ้าผสมเกลือ ชำระร่างกายด้วยสบู่เป็นบางครั้ง เปิบข้าวเข้าปากด้วยมือ เพราะไม่ต้องการรับประทานอาหารมือสอง ผ่านสิ่งสำส่อน อย่างช้อนส้อม
เท้าที่ไม่สวมอะไรเลย แม้แต่พนักงานโรงแรมชั้นหนึ่ง ที่เคยไล่เขาออกจากโรงแรม ด้วยเหตุผล NO SHOE ก็ยังต้องหยุดทำความรู้จักกับรองเท้ากายสิทธิ์อันเป็นรองเท้าหนังแท้ที่แม่ให้มา
หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้ตัดผม เพราะไม่ต้องการลงทุนสำหรับการซื้อหากรรไกร เพราะชีวิตกลางป่า กับ “ปลายฟ้า” ลูกสาวบุญธรรมที่เป็นโรคลมชักและหมาอีกสองตัว บนผืนดินกว้างหลายร้อยไร่ที่เขาบริจาคไปเรียบร้อยแล้ว แต่ขอใช้เพียงพื้นที่เล็กๆปลูกกระต๊อบอาศัยอยู่ไปชั่วชีวิต เป็นชีวิตที่เรียบง่ายและพยายามลดต้นทุนในสิ่งที่ไม่จำเป็น
ทุกวันนี้เขาเป็นวิทยากรตลอดชีพให้กับค่ายศิลปะเพื่อคนพิการ Art for all โดยไม่มีรายได้ใดๆ ที่ผ่านมามีก็แต่ญาติธรรมและเพื่อนฝูงเท่านั้นที่คอยให้ความช่วยเหลือส่งเงินและข้าวไปให้ เพื่อให้เขาได้ทำงานศิลปะ
“ผมเป็นไม้ร่มไม่ใช่ไม้ร้อน ผมจึงตั้งใจว่าจะต้องเป็นไม้ร่มให้ได้ เพื่อตัวผมเอง เพื่อคนข้างเคียงและมวลมนุษยชาติ และเป็นธรรมชาติอโศก ที่สำนึกรู้ว่าตัวเรานั้นคือธรรมชาติ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป รู้เท่าทันตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องโศกเศร้า เสียใจ”